สารบัญ
ฝึกคิดแบบ Principle-Centered
จาก 7 habits of highly effective people โดย Steven Covey
Principle-Centered Living หมายถึงการดำเนินชีวิตตาม “principles” หรือหลักการที่เป็นสากลและคงที่ ไม่ขึ้นกับสถานการณ์เฉพาะหรือความคิดเห็นส่วนบุคคล
Covey เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ดีในชีวิตมาจากการทำงานภายใต้หลักการที่เป็นสากล เช่น ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม และความเห็นอกเห็นใจ
ความแตกต่างระหว่างแนวทางทั่วไปกับ Principle-Centered
- แนวทางทั่วไปมักอิงกับเทคนิคชั่วคราวหรือการตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยอาจใช้วิธีที่ได้ผลในระยะสั้นแต่ไม่ยั่งยืน
- Principle-Centered ใช้กรอบคุณค่าและหลักการที่อยู่เหนือสถานการณ์ ช่วยให้การตัดสินใจมี consistency และคุณภาพชีวิตที่มั่นคง
หลักการสำคัญของ Principle-Centered (เชิงแนวคิดจาก Covey)
- Principles are timeless and universal: หลักการไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา บางอย่างคือความจริงทางธรรมชาติและจริยธรรมมนุษย์
- Character ethic over personality ethic: Covey เน้นการสร้าง character ที่ดีมากกว่าการนำเสนอภาพลักษณ์ภายนอก
- Proactive mindset anchored by values: เริ่มจากคุณค่า เป็นจุดยึดเกลียวในการตัดสินใจ แทนที่จะตอบสนองแบบ reactive
- Balance among four dimensions: เขาชี้ว่าชีวิตมีสี่มิติที่ควรดูแลควบคู่กัน: สุขภาพส่วนบุคคล (physical), ความสัมพันธ์และความเข้าใจ (social/emotional), งานอาชีพ (career), และจิตวิญญาณ/จุดหมาย (spiritual)
Security (ความมั่นคงในใจ)
- ความหมาย: ความรู้สึก มั่นคงภายใน (Inner Security) ที่เกิดจากการที่เรา ยึดหลักการ (เช่น ความซื่อสัตย์, ความยุติธรรม, การให้บริการ) เป็นเข็มทิศในชีวิต แทนที่จะยึดตามอารมณ์ชั่ววูบ, สภาพแวดล้อม, หรือการยอมรับจากคนอื่น
- ตัวอย่าง:
- คนที่ยึดหลักการ “ความซื่อสัตย์” จะรู้สึกมั่นใจแม้ต้องพูดความจริงที่ยากลำบาก
- คนที่ยึดหลักการ “การเติบโต” จะไม่หวั่นไหวกับคำวิจารณ์ แต่ใช้มันเพื่อพัฒนาตนเอง
- ตรงข้ามกับ: ความมั่นคงจากภายนอก (เช่น เงิน, สถานะ), ความนิยม) ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและควบคุมไม่ได้
- Guidance (เครื่องนำทาง)
- ความหมาย: หลักการทำหน้าที่เป็น เข็มทิศ ที่ช่วยให้เรา:
- ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์ต่างๆ
- รู้ว่า “อะไรคือสิ่งถูกต้อง” ที่ควรทำ
- ไม่สูญหายในความซับซ้อนหรือความไม่แน่นอนของชีวิต
- ตัวอย่าง:
- เมื่อเผชิญหน้ากับ ปัญหาทางจริยธรรม ,หลักการ “ความยุติธรรม” จะช่วยให้เราเลือกทางที่ถูกต้อง
- เมื่อรู้สึกสับสน,หลักการ “วิสัยทัศน์” ช่วยให้เราโฟกัสที่เป้าหมายระยะยาว
- สำคัญเพราะ: ชีวิตมีทางเลือกมากมาย,หลักการช่วยให้เราเลือกทางที่สอดคล้องกับค่านิยม
- Wisdom (ปัญญา)
- ความหมาย: ความสามารถในการ เข้าใจหลักการและนำไปใช้ได้อย่างลึกซึ้ง กับสถานการณ์ต่างๆ โดยconsiderบริบทและผลกระทบอย่างรอบด้าน
- ไม่ใช่แค่รู้ว่า “อะไรถูกอะไรผิด” แต่รู้ว่า “ทำอย่างไรจึงเหมาะสม”
- เกิดจากการผสมผสานระหว่าง ความรู้, ประสบการณ์, และการไตร่ตรอง
- ตัวอย่าง:
- การแสดงความเห็นอกเห็นใจ ( empathy ) ต่อเพื่อนร่วมงานที่ทำงานผิดพลาด (แทนที่จะตำหนิทันที)
- การรู้ว่าเมื่อใดควรยึดมั่นในหลักการของคุณและเมื่อใดควรยืดหยุ่น
- พัฒนาได้โดย: ฝึกการสะท้อนกลับ, เรียนรู้จาก mistakes, และศึกษาหลักการอย่างต่อเนื่อง
- Power (อำนาจ)
- ความหมาย: พลังภายใน ที่ทำให้เรา ลงมือทำ สิ่งที่สอดคล้องกับหลักการได้ แม้จะเจอความยากลำบากหรือการต่อต้าน
- ไม่ใช่พลังในการควบคุมคนอื่น แต่พลังในการ ควบคุมตนเอง และ สร้างการเปลี่ยนแปลง
- เกิดจาก ความสอดคล้องระหว่างค่านิยม, ความคิด, และการกระทำ ( Integrity )
- ตัวอย่าง:
- พลังที่จะ พูด “ไม่” กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้จะโดนกดดัน
- พลังที่จะ เริ่มต้นใหม่ หลังจากล้มเหลว,เพราะเชื่อในหลักการ “การเติบโต”
- สำคัญเพราะ: การรู้ว่าอะไรถูกต้องไม่พอ ต้องมีพลังที่จะทำมัน
เหตุผลที่การดำเนินชีวิตตามหลักการให้สิ่งเหล่านี้: หลักการ (ความเป็นคนที่ไว้วางใจได้ น่าเชื่อถือ ความเอื้อเฟื้อ ความยุติธรรม) เป็น สากลและไม่เปลี่ยนแปลง (เหมือนกฎแรงโน้มถ่วง)
เมื่อเรา จัดชีวิตให้สอดคล้อง กับหลักการเหล่านี้ เราจะได้รับ:
Security: เพราะเราไม่ต้องพึ่งสิ่งภายนอก
Guidance: เพราะหลักการเป็นเข็มทิศที่เชื่อถือได้
Wisdom: เพราะเราเข้าใจ “เหตุและผล” ของชีวิต
Power: เพราะเราไม่มี internal conflict
Covey อธิบายว่า ชีวิตเราประกอบด้วย “ศูนย์กลาง” (Center) หลายแบบ แต่หากเรายึด “หลักการ” (Principles) เป็นศูนย์กลาง มันจะช่วยให้เราจัดการกับชีวิตด้านอื่นๆ ได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ ภาพต่อไปนี้แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิตของคนเราโดยทั่วไป ที่ให้ความสำคัญแต่ละส่วนแตกต่างกันไป
สิ่งที่รายล้อมหลักการ (วงกลมรอบนอก)
ชีวิตเราถูกแบ่งออกเป็น “มิติ” ต่าง ๆ ที่สำคัญ และหากเราใช้หลักการเป็นพื้นฐาน เราจะจัดการมิติเหล่านี้ได้ดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราใช้ชีวิตโดยยึดอย่างอื่นเป็นศูนย์กลางแทนหลักการ ก็จะทำให้ชีวิตของเราไม่สมดุล และเกิดความเสียหายตามมา เช่น
🔹 ตัวเอง (Self) ความหมาย: การดูแลสุขภาพกายและใจ พัฒนาตนเอง รู้จักตัวเอง
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ วินัย ในการออกกำลังกาย regularly ใช้ ความซื่อสัตย์ ในการประเมินจุดอ่อนของตัวเอง
ถ้าศูนย์กลางอยู่ที่ตัวเอง (Self-Centered) ก็จะคิดถึงแต่ตัวเอง ความสุขตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง
ผลที่ตามมา: ขาด empathy และการทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว สุดท้ายแล้วจะรู้สึกเหงา เพราะไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ชีวิตขาดความหมายที่เกิดจากการให้
🔹 ครอบครัว (Family) ความหมาย: ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ลูก พี่น้อง
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความเข้าใจ ในการฟังสมาชิกในครอบครัว ใช้ ความรับผิดชอบ ในการเป็นแบบอย่างที่ดี
ถ้าศูนย์กลางคือครอบครัว (Family-Centered) เรามักจะให้ความสำคัญกับครอบครัวถึงขั้น “ยอมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว”
ผลที่ตามมา: อาจตัดสินใจผิด ขึ้นกับอคติ(ลูกทำผิด ก็จะปกป้องไม่ให้รับผิด)รู้สึกทุกข์เมื่อสมาชิกในครอบครัวไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง อาจละเลยความถูกต้องของสังคมเพื่อประโยชน์ของครอบครัว
🔹 งาน (Work) ความหมาย: อาชีพ บทบาทในองค์กร การเงิน
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ การให้บริการ ในการทำงานเพื่อลูกค้า ใช้ ความยุติธรรม ในการประเมินผลงานทีม
ถ้าศูนย์กลางคืองาน (Work-Centered) เรามักจะ indentify ตัวเองด้วยตำแหน่งงาน (“ฉันคืองาน งานคือฉัน”)
ผลที่ตามมา: เมื่อถูกเลิกจ้างหรือเกษียณอายุจะรู้สึกสูญเสียตัวตน ละเลยครอบครัวและสุขภาพ → นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แตกร้าว มัก burnout เพราะไม่รู้จักพอ
🔹 เงิน (Money) ความหมาย: การจัดการรายได้ รายจ่าย การออม
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความพอเพียง ในการใช้เงิน ใช้ ความซื่อสัตย์ ในการไม่ก่อหนี้เกินตัว
ถ้าศูนย์กลางคือเงิน (Money-Centered) เราจะวัดคุณค่าของทุกสิ่งด้วยเงิน (“ทำอะไรก็ได้เพื่อเงิน”)
ผลที่ตามมา: อาจเลือกงานที่ได้เงินมากแต่ทำลายสุขภาพ/ความสัมพันธ์ รู้สึกไม่มั่นคงเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ มักเห็นคนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อความร่ำรวย → สูญเสียความเชื่อมั่น
🔹 คู่สมรส (Spouse) ความหมาย: ความสัมพันธ์กับคู่ชีวิต
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความเคารพ ในการไม่ดูถูกความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ใช้ ความอดทน ในช่วงเวลาขัดแย้ง
ถ้าศูนย์กลางอยู่ที่คู่สมรส (Spouse-Centered) คู่รักเป็นแหล่งความสุขและคุณค่าเพียงอย่างเดียว
ผลที่ตามมา เกิดความหึงหวงและควบคุมเกินไป หากคู่รักจากไปหรือเปลี่ยนแปลง คุณจะรู้สึกสูญเสียทุกอย่าง ละเลยมิติอื่นของชีวิต(เช่น งาน เพื่อน)
🔹 เพื่อน (Friends) ความหมาย: มิตรภาพ สังคม
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความน่าเชื่อถือ ในการรักษาสัญญา ใช้ การให้อภัย เมื่อเพื่อนทำผิด
🔹 ศัตรู (Enemies) ความหมาย: คนที่ขัดแย้งกับเรา
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความเมตตา ในการไม่ตอบแทนด้วยความเกลียดชัง ใช้ ความกล้าหาญ ในการเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง
ถ้า ศูนย์กลางคือศัตรู (Enemy-Centered) คุณจะมีแต่ความเกลียดชัง ความแค้น และความขัดแย้ง เป็นนิยามของชีวิต
ผลที่ตามมา: ใช้พลังงานชีวิตไปกับการแก้แค้นและต่อสู้ กลายเป็นคนที่ผู้อื่นไม่อยากเข้าใกล้ และเกลียดตัวเองในที่สุด ไม่มีอิสระทางจิตใจ คิดแต่เรื่องศัตรู
🔹 สิ่งบันเทิง (Recreation) ความหมาย: กิจกรรมพักผ่อน งานอดิเรก
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความสมดุล ในการไม่เล่นจนละเลยหน้าที่ ใช้ ความคิดสร้างสรรค์ ในการหาประสบการณ์ใหม่ๆ
ถ้าศูนย์กลางคือสิ่งบันเทิง (Recreation-Centered) คุณจะให้ความสำคัญกับความสนุก สันทนาการ และความเพลิดเพลิน การตัดสินใจขึ้นอยู่กับอะไรจะให้ความสุขระยะสั้น วัดค่าของชีวิตจากความตื่นเต้นและประสบการณ์ใหม่ๆ หลีกเลี่ยง สิ่งที่เคร่งเครียดหรือต้องรับผิดชอบ
ผลที่ตามมา: การหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ (เช่นละเลยงาน การเรียน) สุขภาพเสียจากกิจกรรมที่มาก เกินไป ปัญหาการเงิน จากการใช้จ่ายในสิ่งบันเทิง ความรู้สึกว่างปล่าเมื่อความสนุกจบลง
🔹 วัด/ศาสนา (Church/Spirituality) ความหมาย: ความเชื่อ ศาสนา จิตวิญญาณ
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความศรัทธา ในการปฏิบัติตามคำสอน ใช้ การบริการ ในการช่วยเหลือชุมชน
ถ้าศูนย์กลางอยู่ที่วัดและศาสนา (Church/Spirituality-Centered) คือการให้ความสำคัญสูงสุด กับหลักธรรมคำสอน พิธีกรรม และกิจกรรมทางศาสนา ตัดสินใจทุกเรื่อง ผ่านกรอบของศาสนาและความเชื่อ วัดค่าของคน จากความศรัทธาหรือการปฏิบัติตามหลักศาสนา มองโลก through the lens of ศาสนา
ผลที่ตามมา: ตัดสินคนอื่น ที่มีความเชื่อต่างไป ละเลยมิติอื่นของชีวิต รู้สึกผิดที่ไม่ได้ตามมาตรฐานศาสนา
🔹 การเป็นเจ้าของ (Ownership) ความหมาย: สิ่งที่เรามี ทรัพย์สิน
ตัวอย่างการใช้หลักการ: ใช้ ความรับผิดชอบ ในการดูแลทรัพย์สิน ใช้ ความไม่ยึดติด ในการไม่ให้ไม่ให้ทรัพย์สินหรือสิ่งรอบตัวมากำหนดคุณค่าของตนเองจนเกินไป
ถ้าศูนย์กลางอยู่ที่การเป็นเจ้าของ (Ownership-Centered) คุณจะวัดคุณค่าตนเอง จากสิ่งที่มี (รถ บ้าน ของสะสม) ติดตามการสะสมทรัพย์สินอย่างไม่หยุดยั้ง แสดงตัวตนผ่านสิ่งที่ครอบครอง รู้สึกมั่นคงเมื่อมีสิ่งเหล่านี้ล้อมรอบ
ผลที่ตามมา: กลายเป็นคนวัตถุนิยม และผิวเผิน เครียดตลอดเวลา จากการรักษาและเพิ่มสมบัติ สูญเสียความสัมพันธ์ เพราะให้ความสำคัญกับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าคน รู้สึกไม่พอใจ ไม่เคยพอกับสมบัติที่มี
คำอธิบายนี้ชี้ให้เห็นว่าทำไมหลักการจึงสำคัญ ทุกมิติของชีวิตเชื่อมโยงกัน หากเราใช้หลักการเดียวกัน across all area ชีวิตจะมีความสมดุล หลักการช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญ รู้ว่าอะไรสำคัญและอะไรไม่สำคัญ ลดความขัดแย้ง เพราะเรามีเข็มทิศที่ชัดเจนในการตัดสินใจ
Covey กล่าวว่า: “หากเรายึดหลักการศูนย์กลาง เราจะไม่ถูกควบคุมโดยอารมณ์ สิ่งแวดล้อมหรือความคิดเห็นของผู้อื่น”
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน
- เมื่อเพื่อนร่วมงานทำงานผิด:
- หลักการ: ความรับผิดชอบ + ความเมตตา
- การกระทำ: ช่วยเขาแก้ไข แทนที่จะตำหนิ
- เมื่อเผชิญหน้ากับการโกง:
- หลักการ: ความซื่อสัตย์
- การกระทำ: เลือกพูดความจริงแม้ยาก
ในการเป็นผู้นำ
- เมื่อต้องตัดสินใจที่ไม่ได้ถูกใจคนส่วนมาก:
- หลักการ: ความยุติธรรม + วิสัยทัศน์ระยะยาว
- การกระทำ: อธิบายเหตุผลตามหลักการ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความนิยม
การคิดแบบ Principle-Centered เป็นทักษะที่ฝึกได้ โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: รู้จักหลักการ
- ลิสต์หลักการที่คุณเชื่อจริงๆ 5 ข้อ(เช่น ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความเอื้อเฟื้อ)
- ถามตัวเองว่า: “อะไรคือสิ่งที่ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่ประนีประนอม”
ขั้นตอนที่ 2: ใช้หลักการเป็น “ตัวกรอง”
เวลาต้องตัดสินใจ ให้ถามตัวเอง 3 คำถาม:
- การกระทำนี้สอดคล้องกับหลักการที่ฉันเชื่อหรือไม่?
- มันจะสร้างผลลัพธ์ระยะยาวอะไร?
- หากทุกคนทำแบบนี้ โลกมันจะดีขึ้นไหม
ขั้นตอนที่ 3: สร้างพลัง 4 ด้านจากหลักการ
Security: เพราะเราไม่ต้องพึ่งสิ่งภายนอก
Guidance: เพราะหลักการเป็นเข็มทิศที่เชื่อถือได้
Wisdom: เพราะเราเข้าใจ “เหตุและผล” ของชีวิต
Power: เพราะเราไม่มี internal conflict
บทสรุป: ชีวิตที่ไม่ได้ลอยไปตามกระแส
การคิดแบบ Principle-Centered ไม่ได้หมายถึงการทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่คือการทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้น เพราะคุณรู้จักตัวเองว่ายืนอยู่บนพื้นฐานอะไร และคุณรู้ว่าการตัดสินใจของคุณสอดคล้องกับค่านิยมลึกๆภายใน
มันคือการเปลี่ยนจาก “ชีวิตที่ถูกควบคุมสถานการณ์“ เป็น “ชีวิตที่ออกแบบโดยเจตนา”
“เรืออาจถูกควบคุมโดยลม แต่เราสามารถปรับใบเรือเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย” — Stephen Covey
สุดท้าย – คุณเลือกได้ว่าจะเป็นเรือที่ลอยไปตามคลื่น หรือเป็นกัปตันที่ถือหางเสือของชีวิตตนเอง