คืนเดือนดับ
โดย น.ท.สมปอง วัฒนกูล อศจ.บก.รร.นร.
วันพระที่ตรงกับแรม ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ คนเราจะไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้าเพราะดวงจันทร์ได้โคจรมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ และหันด้านที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์
มายังโลก เมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้าจึงไม่เห็นดวงจันทร์ ประหนึ่งว่าไม่มีดวงจันทร์อยู่ในวงโคจรเลย คืนใดที่มีปรากฏการณ์ความมืดเช่นนี้เกิดขึ้น เราเรียกคืนนั้นว่าคืนเดือนดับ
ความมืดที่เกิดขึ้นในคืนเดือนดับนี้ หากพิจารณาในแง่หลักธรรม ก็มีทางพิจารณาได้ ๒ ประการ คือ ความมืดภายนอก และความมืดภายใน ความมืดเพราะปราศจากแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ หรือแสงไฟฟ้าจนทำให้เรามองไม่เห็นอะไร จัดเป็นความมืดภายนอก ความมืดชนิดนี้ไม่เป็นปัญหามากนักในปัจจุบัน เพราะมนุษย์สามารถเอาชนะความมืดได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น เปิดไฟ จุดตะเกียง จุดเทียน หรือก่อไฟ เป็นต้น ส่วนความมืดเพราะปราศจากสติปัญญาหรือเพราะไม่ใช้สติปัญญาประกอบกิจ ในเรื่องที่คิด ในกิจที่ทำและในคำที่พูด จัดเป็นความมืดภายใน แก้ยากเป็นบ่อเกิดของปัญหาสังคมทุกยุคทุกสมัยเป็นความมืดตัวสำคัญที่ยากจะเอาชนะได้ เช่น อบายมุข ทำให้คนหลายคนมองไม่เห็นโทษ คนบางคนมองเห็นว่าอบายมุขเป็นสิ่งที่น่าพิสมัย ทั้งที่ความจริงแล้ว ผลบั้นปลายของอบายมุขทำให้คนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างมามากต่อมากแล้ว
การแก้ปัญหาความมืดภายนอกนั้นเพียงแต่เราเปิดไฟ จุดตะเกียง จุดเทียน หรือก่อไฟ ความมืดนั้นก็หายไปแล้ว ส่วนความมืดภายในใจคนไม่อาจจะใช้แสงสว่างดังกล่าวแก้ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะได้ใช้แสงสว่างคือ ปัญญา ความรอบรู้ ความฉลาดของตนเองเท่านั้น แสงสว่างคือ ปัญญานี้จะทำให้มนุษย์ รู้จักคิดพิจารณารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ตลอดจนกระทั่งรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง จึงนับว่าเป็นสุดยอดของแสงสว่างทั้งปวงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า “นัตถิ ปัญญาสะมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญา ไม่มี” นั่นเอง